วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
โทลูอีน : กับความเสี่ยงต่อการแท้งและความผิดปกติของทารกในครรภ์
00:52
โทลูอีน : กับความเสี่ยงต่อการแท้งและความผิดปกติของทารกในครรภ์
รองศาสตราจารย์ ดร. เรณู เวชรัชต์พิมล*
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
ความประมาทจนก่อให้เกิดการลุกไหม้ของสารโทลูอีนและเกิดการระเบิดของโรงงานฝ่ายผลิต
ยางรถยนต์ ภายในบริเวณ บริษัท กรุงเทพซินธิติกส์ (BST) ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัด
ระยอง เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2555 เป็นข่าวใหญ่ต่อสาธารณะ ส่งผลกระทบต่อชีวิต และทรัพย์สินของ
ประชาชน รวมทั้งบรรยากาศของการท่องเที่ยวของผู้ที่ชื่นชอบผลไม้ของจังหวัดระยอง สําหรับคนไทย
ทั่วประเทศคงมีคําถามคล้าย ๆ กันว่า เมื่อไรปัญหาของนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองจะได้รับการ
แก้ไขอย่างแท้จริง เพราะมีแต่ข่าวมลพิษ อุบัติภัย ความขัดแย้งกับชุมชน โดยเฉพาะความพยายามที่จะ
นําพื้นที่สีเขียวในอําเภอบ้านค่ายและอําเภอวังจันทร์ ตลอดจนพื้นที่ต้นน้ํามาใช้ในการประกอบ
อุตสาหกรรม รวมทั้งคําถามถึงอนาคตในกรณีที่มีโรงงานหยุดผลิต ทิ้งร้าง รัฐมีหลักประกันใดที่เจ้าของ
กิจการจะเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการขยะอันตรายและสารพิษในโรงงานที่ทิ้งร้าง เพราะกังวลใจว่าใน
ที่สุดรัฐจะต้องเป็นผู้แบกภาระโดยนําภาษีของประชาชนไปจ่ายในส่วนที่โรงงานต้องรับผิดชอบถ้า
หน่วยงานอนุญาตให้สร้างโรงงานมีการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่รัดกุมเพียงพอ เพราะการเกิดอุบัติเหตุแต่
ละครั้งโรงพยาบาลในพื้นที่ต้องใช้งบประมาณในการรักษาผู้ป่วยจากอุบัติเหตุของโรงงานจํานวนมาก
ส่งผลให้งบประมาณปกติของโรงพยาบาลที่ได้รับจัดสรรให้ต่อหัวประชากรถูกเบียดบังไปใช้เพื่อรองรับ
ความประมาทของโรงงานแทนที่จะใช้กับการส่งเสริมและรักษาสุขภาพของประชาชน
นักวิชาการกลุ่มที่ได้อ่านรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของโรงงานนี้และบริษัท
ในเครือมีแผนที่การติดตั้งถังสารเคมีในการผลิตของโรงงาน ทุกคนภาวนาให้สามารถควบคุมการลุกไหม้
ของโรงงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะยังมีถังสารเคมีที่ติดตั้งในพื้นที่จํานวนมาก และโรงงานใกล้เคียง คือ
โรงงานบริษัทไบเออร์ไทย จํากัด ซึ่งมีถังสารเคมีอยู่จํานวนมากเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีความไม่
ชัดเจนว่าสารเคมีที่ระเหยปนเปื้อนในอากาศครั้งนี้เป็นสารโทลูอีนเพียงชนิดเดียวหรือมีถังสารเคมีชนิด
อื่นเกี่ยวข้องด้วย เช่น สารบิวทาไดอีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ความโชคดีของคนระยองครั้งนี้ คือ การที่มี
ฝนตกทําให้การควบคุมเพลิงเป็นไปได้ง่ายกว่าปกติ อย่างไรก็ตามผู้รับผิดชอบได้ให้ข้อมูลต่อสาธารณะว่า
สารคมีที่ปนเปื้อนในอากาศและเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย คือ โทลูอีน รวมทั้งให้ข้อมูลว่าสารชนิดนี้
ไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็ง แต่มิได้ให้ข้อมูลความเป็นพิษของโทลูอีนในแง่มุมอื่น
การติดตามข่าวในฐานะนักวิชาการคนหนึ่ง ขอตั้งข้อสังเกตว่าการประกาศรับรองต่อสาธารณะ
ถึงความปลอดภัยของสารปนเปื้อนในอากาศยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน มีความเร่งรีบรับรองว่าปลอดภัย และ
ให้ประชาชนกลับบ้านได้ โดยขาดมาตรฐานและความน่าเชื่อถือทางวิชาการ หากเปรียบเทียบกับการ
ระเบิดของโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นมีการประกาศรายชื่อสารเคมีและปริมาณที่ตรวจพบ พร้อมทั้งให้
ความรู้กับประชาชนเพื่อให้เข้าใจและนําไปใช้ในการปกป้องดูแลตนเองและบุคคลในครอบครัว จึงปรารถนาที่จะเห็นการประกาศต่อสาธารณะของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ว่าได้ตรวจสอบ
การปนเปื้อนของสารเคมีชนิดใดบ้าง และตรวจวัดพบว่าค่าการปนเปื้อนเท่าใด พื้นที่ใดบ้างที่ปลอดภัย
เนื่องจากเป็นที่ทราบชัดว่าการตรวจหาสารเคมีปนเปื้อนในอากาศนั้นต้องตรวจรายชนิด เพราะมีวิธีการ
ตรวจไม่เหมือนกัน และค่ามาตรฐานความปลอดภัยของสารเคมีแต่ละชนิดเป็นค่าเฉพาะ เพื่อให้
ประชาชนมั่นใจได้ว่าองค์กรของรัฐที่เกี่ยวข้อง เคารพ ปกป้อง และได้ดําเนินมาตรการที่จําเป็นและ
เพียงพอที่จะทําให้สิทธิของชุมชนที่จะดํารงชีพได้อย่างปกติ รวมทั้งสิทธิด้านต่างๆ ที่มีการรับรองไว้ตาม
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน สนธิสัญญา
และตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ตลอดจนหลักการและมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องซึ่ง
รัฐบาลไทยได้ลงนามไว้กับนานาชาติมีการดําเนินการเพื่อให้สิทธิเหล่านี้เกิดผลที่เป็นจริง
การเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงของสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับมลพิษโดยตรงมีความจําเป็นอย่างยิ่ง เพื่อ
นําข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจปกป้องประชาชนซึ่งรัฐมีหน้าที่ในการปกป้องจากอุบัติภัย และมี
ความสําคัญยิ่งต่อนาทีชีวิตของเหยื่อ เพราะรายชื่อสารเคมีจําเป็นต่อการรักษาเพื่อลดความเป็นพิษของ
สารเคมีชนิดนั้น หากแพทย์ทราบชัดถึงชนิดสารเคมีที่เป็นต้นเหตุจะสามารถรักษาผู้ป่วยได้ตรงกับสาเหตุ
อย่างไรก็ตามข้อมูลของสารเคมีที่เปิดเผยต่อสาธารณะในกรณีของโรงงานนี้มุ่งเน้นที่สารโทลูอีน
บทความนี้จึงนําเสนออันตรายของโทลูอีนในแง่มุมที่มีการกล่าวถึงไม่มากนัก แต่มีความสําคัญต่อชุมชน
คือ ผลกระทบต่อทารกและการแท้งของสตรีมีครรภ์
โทลูอีนเป็นสารอินทรีย์ระเหยง่ายที่นิยมนํามาใช้เป็นตัวทําละลายทดแทนสารเบนซีน เนื่องจาก
โทลูอีนละลายในไขมันได้ดี จึงสามารถผ่านเข้าสู่เนื้อเยื่อในร่างกายที่มีไขมันเป็นองค์ประกอบได้เร็วและ
จากรายงานทางวิชาการพบว่าโทลูอีนสามารถแพร่ผ่านรกได้ดี ทําให้ตรวจพบโทลูอีนในเนื้อเยื่อต่างๆ
ของทารกและในน้ําคร่ําที่อยู่ในมดลูกของแม่ที่สัมผัสโทลูอีน รวมทั้งพบในทารกแรกเกิดด้วย (1)
การศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่าโทลูอีนสามารถคงอยู่ในสัตว์วัยอ่อนที่อยู่ในท้องแม่ได้นานถึง 24 ชั่วโมง
และหนูเม้าซ์ที่ได้รับโทลูอีนขณะตั้งท้องนั้นตรวจพบโทลูอีนสะสมอยู่ในตับจํานวนมาก (2, อ้างตาม 3)
รายงานการศึกษาให้สัตว์ทดลองที่ได้รับโทลูอีน ด้วยวิธีให้กิน หรือให้ได้รับทางการหายใจ มี
รายงานการศึกษาในสัตว์หลายชนิด เช่น หนู แฮมสเตอร์ และกระต่าย โดยให้ได้รับโทลูอีนในช่วงเวลาที่
แม่มีอายุครรภ์ต่างๆ กัน พบว่ามีผลแตกต่างกันตามปริมาณและระยะเวลาที่สัตว์ทดลองได้รับสารโทลูอีน
โดยอาการที่ตรวจพบมีความหลากหลาย ขึ้นกับชนิดสัตว์ ปริมาณโทลูอีนที่ได้รับและอายุครรภ์ เช่น ทํา
ให้เกิดการแท้ง หรือมีผลให้ลูกที่เกิดมีน้ําหนักน้อยกว่าปกติ อวัยวะที่สําคัญมีน้ําหนักน้อยกว่าปกติ เช่น
หัวใจ ตับ ไต และสมอง รวมทั้งมีผลเพิ่มอัตราการตายของทารกก่อนหรือหลังคลอด สัตว์บางชนิดมี
ความไวกว่าสัตว์อื่น เช่น หนูทดลองจะมีความไวกว่าแฮมสเตอร์ นอกจากนี้ยังอาจพบความผิดปกติของ
เนื้อเยื่อประสาท การได้ยิน และการเจริญของกระดูกโครงร่างช้ากว่าปกติด้วย (อ้างตาม 4)
การศึกษาในคนที่ได้รับโทลูอีนจากการสูดดมต่อเนื่อง พบความผิดปกติของรูปร่าง เช่น กระดูก
ซี่โครงเพิ่มขึ้นซี่ที่ 14 ในกลุ่มที่ได้รับโทลูอีน 1,000 ppm นาน 6 ชั่วโมงต่อวัน ในช่วงที่มารดามีอายุครรภ์ 1-17 วัน นอกจากนี้พบความผิดปกติอื่น ๆ คือ ความผิดปกติของใบหน้าคล้ายกับทารกที่มารดา
ติดสุราในระยะตั้งครรภ์ คือ มีส่วนกลางของใบหน้าแบน กระบอกตาลึก กระดูกที่เชื่อมระหว่างรูจมูก
แบน (รูปที่ 1 จาก 5 อ้างตาม 2) การให้กําเนิดทารกที่มีรูปร่างผิดปกติในคนนั้น มีรายงานว่าเกิดจาก
ทารกได้รับโทลูอีนผ่านมดลูกในขณะที่อยู่ในครรภ์ และแม่ไม่สามารถกําจัดสารตกค้างจากโทลูอีนซึ่งไป
ทําลายไตได้ (รูปที่ 2 จาก 2)
(ภาพนี้นํามาจากวารสาร Teratology 55:145–151 (1997) ซึ่งเจ้าของบทความได้ขออนุญาตเผยแพร่ภาพ
จาก Arnold และคณะ (1994) จึงถูกนํามาอ้างอิงในบทความนี้ โดยมิได้ขออนุญาตจากเจ้าของผลงาน จึงขอให้
ระมัดระวังในการนําไปเผยแพร่ต่อ)
รายงานการศึกษาสาเหตุการแท้งของสตรีมีครรภ์ โดยเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์สตรี 50
คน (ผ่านการตั้งครรภ์รวม 105 ครั้ง) ซึ่งทํางานในโรงงานผลิตลําโพงและได้รับโทลูอีนปริมาณสูง 88
ppm (ช่วง 50-150 ppm) เปรียบเทียบกับสตรีที่ทํางานในแผนกอื่นของโรงงานเดียวกันซึ่งได้รับโทลูอีน
1 ppm หมายถึง มีสารโทลูอีน 1 ส่วน ในสารละลาย 1 ล้านส่วน
น้อยมากหรือไม่ได้รับเลย (0-25 ppm) จํานวน 31 คน (ผ่านการตั้งครรภ์รวม 68 ครั้ง) โดยเปรียบเทียบ
กับสตรีที่อยู่ในชุมชนทั่วไปที่เข้ารับการรักษาในคลินิกแม่และเด็กหลังการคลอด จํานวน 190 คน เป็น
กลุ่มควบคุม (ผ่านการตั้งครรภ์รวม 444 ครั้ง) พบว่าสตรีกลุ่มที่ทํางานในโรงงานและได้รับโทลูอีน
ปริมาณสูง มีอัตราการแท้งสูงถึง 12.4 ครั้ง จากการตั้งครรภ์ 100 ครั้ง ซึ่งมีอัตราการแท้งสูงกว่าสตรี
กลุ่มที่ทํางานในโรงงานเดียวกันซึ่งได้รับโทลูอีนน้อยหรือไม่ได้รับเลย ที่พบว่ามีอัตราการแท้งเพียง 2.9
ครั้ง จากการตั้งครรภ์ 100 ครั้ง ซึ่งความแตกต่างนี้มีนัยสําคัญทางสถิติ ส่วนสตรีกลุ่มในชุมชนทั่วไปนั้น
พบอัตราการแท้ง 4.5 ครั้ง จากการตั้งครรภ์ 100 ครั้ง นอกจากนี้ในสตรีกลุ่มที่ได้รับโทลูอีนสูงนั้นเมื่อ
เปรียบเทียบอัตราการแท้งระหว่างก่อน-หลังเข้าทํางานในโรงงานความแตกต่างที่มีนัยสําคัญทางสถิติ
โดยก่อนทํางานมีอัตราการแท้ง 2.9 ครั้ง จากการตั้งครรภ์ 100 ครั้ง และมีอัตราการแท้งเพิ่มขึ้นหลังจาก
เข้าทํางานในโรงงานเป็น 12.6 ครั้ง จากการตั้งครรภ์ 100 ครั้ง สตรีเกือบทั้งหมดไม่สูบบุหรี่และไม่ดื่ม
แอลกอฮอล์ ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าการได้รับสารโทลูอีนของสตรีมีครรภ์ความเสี่ยงต่อการแท้ง
และสูญเสียทารกในครรภ์ (6)
ถึงเวลาที่สิทธิของประชาชนในจังหวัดระยองจะได้รับการปกป้องอย่างแท้จริงหรือยัง เริ่มต้น
ที่สิทธิในการรับรู้ข่าวสาร และการชดเชย เยียวยา ที่เป็นธรรม จึงควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี
มาให้ความเป็นธรรมกับประชาชนในการเข้าถึงสิทธิที่ถูกละเมิดมาอย่างต่อเนื่อง และตรวจสอบระบบ
การปกป้องประชาชนจากภัยพิบัติของโรงงานอุตสาหกรรมที่รัฐเป็นผู้อนุมัติ/อนุญาตและควบคุมการ
ดําเนินการ (7)
รูปที่ 2 เมแทบอลิซีมของโทลูอีน อาศัยการทํางานของเอนไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดรจีเนส
(ADH) และอัลดีไฮด์ ดีโฮโดรจีเนส 1 (ALDH1) และ 2 (ALDH2) เพื่อสลายโทลูอีน โดยเปลี่ยนโครงสร้าง
โมเลกุลและกําจัดออกทางปัสสาวะ
เอกสารอ้างอิง
(1) Goodwin, T.M. Toluene abuse and renal tubular acidosis. Obstet. Gynecol. 1988,
71:715–718.
(2) Wilkins-Haug, L. Teratogen Update: Toluene, Teratology. 1997, 55:145–151.
(3) Ghantous, H. and Danielsson, B.R.G. Placental transfer and distribution of toluene,
xylene and benzene, and their metabolites during getation in mice. Biol. Res.
Pregnancy. 1986, 7:98–105.
(4). EPA/635/R-05/004, Toxicological review of toluene (CAS No. 108-88-3), In Support
of Summary Information on the Integrated Risk Information System (IRIS),
September 2005. U.S. Environmental Protection AgencyWashington D.C.
(5) Arnold, G., R.S. Kirby, S. Langendoerfer, and Wilkins-Haug , L. Toluene embryopathy:
Clinical delineation and developmental followup. Pediatrics. 1994, 93:216–220.
(6) Ng, T.P., Foo, S.C, and Yoong, T. Risk of spontaneous abortion in workers exposed
to toluene. Brit. J. Ind. Med.1992, 49:804-808.
(7) (ร่าง) รายงานข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติต่อกรณีข้อร้องเรียนของ
เครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก 2555 (คณะกรรมการกําลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างรายงานฉบับ
สมบูรณ์)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
บทความที่ได้รับความนิยม
-
Fire Explosion in Thai Oil Safety Lesson Learned: Fire Explosion in Thai Oil Location of Incident: Thailand ไฟไหม้ถังเก็บน้ำมันไทยออยส์ ปี 1...
-
องค์การสหประชาชาติ (United Nations) ได้กำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลกโดยมีวัตถุประสงค์ในการรณรงค์และรักษาสิ่งแวดล้อ...
-
ความมักง่ายบกพร่องอย่างกว้างขวางและทำเป็นระบบ เลิกใส่ใจถามไปเลย เรื่อง CSR กับภาคอุตสาหกรรมมักง่าย แค่เพียงสำนึกง่ายๆ โรงงานเสี่ยงมากมาย ที่...
รายการบล็อกของกลุ่มพิทักษ์อากาศสดชื่น
ขับเคลื่อนโดย Blogger.
1 ความคิดเห็น:
thank kub
แสดงความคิดเห็น